คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741 – 745/2509

หมายเลขคดีดำ ของศาลฎีกา
หมายเลขคดีดำ -

หมายเลขคดีดำ และ หมายเลขคดีแดง ของศาลชั้นต้น
หมายเลขคดีดำ -
หมายเลขคดีแดง -

อัยการจังหวัดเชียงราย       โจทก์
นายโต เจริญ                 จำเลย
อัยการจังหวัดเชียงราย       โจทก์
นายแก้ว มิ่งขวัญ             จำเลย
อัยการจังหวัดเชียงราย       โจทก์
นายแหลง ขวัญใจ           จำเลย
อัยการจังหวัดเชียงราย      โจทก์
นายเหลา เครือวัลย์          จำเลย
อัยการจังหวัดเชียงราย      โจทก์
นายผาย ภูแก้ว               จำเลย

พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 117, 122
ป.อ. มาตรา 368
ป.วิ.อ. มาตรา 219

คดีทั้ง 5 ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องว่าจำเลยแต่ละคดีบังอาจเข้ายึดถือครอบครองทำนาขุดดินและทำคันนาที่ดินในบริเวณหน้าฝายทุ่งหมูบุ้นอันเป็นที่สาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน โดยนายโตครอบครองประมาณ 15 ไร่ นายแก้วประมาณ 1 ไร่ นายแหลงประมาณ 3 ไร่ นายเหลาประมาณ 3 ไร่ นายผายประมาณ 4 ไร่ ที่ดินดังกล่าวอยู่ในความดูแลตรวจตรารักษาของนายจรูญ ธนะสังข์นายอำเภอพะเยา ได้ออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามความในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 117, 122 ห้ามมิให้จำเลยเข้ายึดถือครอบครองและกำหนดให้จำเลยแต่ละคดีออกไปจากที่ดินจำเลยทราบคำสั่งแล้วถึงกำหนดบังอาจขัดขืนไม่กระทำตามคำสั่งคงขัดขืนครอบครองตลอดมาถึงวันฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 117,122

จำเลยทั้ง 5 คดีให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่จำเลยไม่รู้และไม่เข้าใจมาก่อนว่าที่นี้เป็นที่สาธารณะ การขัดคำสั่งจึงทำด้วยใจสุจริตขาดเจตนาร้าย พิพากษายกฟ้อง
จำเลย 5 คดีอุทธรณ์ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครองและมีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย หาใช่ที่สาธารณประโยชน์ไม่ขอศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย มิใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาต่อมาว่าที่พิพาทมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่เป็นที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครองและมีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ขอให้พิพากษากลับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งหมดมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นแห่งคดีทั้ง 5 อยู่ที่ว่า จำเลยกระทำผิดฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายอำเภอซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยขัดคำสั่งของนายอำเภอพะเยาด้วยใจสุจริต ขาดเจตนาร้ายอันจะพึงผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 พิพากษายกฟ้องโจทก์ทุกคดี ฝ่ายโจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีอาญาจึงยุติเพียงศาลชั้นต้น ส่วนข้อวินิจฉัยที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ เป็นมูลเหตุแห่งคดีอาญาเท่านั้น เมื่อจำเลยกล่าวอ้างโต้แย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครอง มิใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินจำเลยชอบที่จะไปว่ากล่าวในทางแพ่งต่อไป ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้นัยฎีกาที่ 1223/2495 ให้ยกฎีกาจำเลยทั้ง 5

( สุทิน เกษคุปต์ - ยง เหลืองรังษี - ศริ มลิลา )

หมายเหตุ