คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9308/2539

 

หมายเลขคดีดำ ของศาลฎีกา
หมายเลขคดีดำ -

หมายเลขคดีดำ และ หมายเลขคดีแดง ของศาลชั้นต้น
หมายเลขคดีดำ -
หมายเลขคดีแดง -

 
นางสาว ปาริชาติ พันธ์ไม้สี             โจทก์
พระภิกษุ ฐานิส พันธ์ไม้สี กับพวก     จำเลย
 

ป.พ.พ. มาตรา 1349, 1350
พ.ร.บ.การชลประทานหลวง พ.ศ.2485 มาตรา 4, 5, 15

โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 5140 โจทก์ที่ 1และจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ต่อมาปี 2531ได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ออกเป็นที่ดินหลายโฉนดโจทก์ที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5140, 20778 และ 20779 และขายที่ดินโฉนดเลขที่ 20778, 20779 ให้แก่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ตามลำดับ ส่วนจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 19077 ซึ่งมีคูน้ำและถนนเลียบคูน้ำกว้างประมาณ 5 เมตร ยาวตลอดแนวด้านทิศใต้ของที่ดินที่โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ทำขึ้น และผ่านเป็นทางเข้าออกสู่ถนนคลองบางสิงห์ตลอดมา เมื่อปี 2532 จำเลยทั้งสองร่วมกันปิดกั้นถนนเลียบคูน้ำดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งสามไม่สามารถใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้ ทิศตะวันตกของที่ดินของโจทก์ที่ 1 ที่ 2ติดคลองเปรมประชากร ซึ่งมีผักตบชวาแน่นหนา บางฤดูน้ำแห้งคลองตื้นเขิน น้ำเน่าเสียประชาชนมิได้ใช้เป็นทางสัญจร และโจทก์ทั้งสองไม่สามารถใช้ถนนเลียบคลองเปรมประชากรได้เพราะถนนมีระดับสูงกว่าพื้นดินมากและต้องข้ามคลองเปรมประชากรที่ดินของโจทก์ทั้งสามอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ขอให้ศาลพิพากษาว่าถนนเลียบคูน้ำกว้าง 5 เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ 19077 ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานีจังหวัดปทุมธานี เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 5140,20778 และ 20779 ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานีจังหวัดปทุมธานี ห้ามจำเลยทั้งสองขัดขวางการผ่านทางและให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งกีดขวางออกจากทางดังกล่าว ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติก็ให้โจทก์ทั้งสามดำเนินการรื้อถอนได้

จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า หลังจากการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยทั้งสองแล้ว ที่ดินของโจทก์ทั้งสามติดคลองเปรมประชากรซึ่งเป็นทางสาธารณะที่ประชาชนใช้สัญจรไปมา ที่ดินของจำเลยทั้งสองไม่มีถนนเลียบคูน้ำ มีเพียงคันสวนกว้างประมาณ 2 เมตร ที่ดินโฉนดเลขที่ 19077 ของจำเลยทั้งสองใช้น้ำจากคลองเปรมประชากรที่ไหลผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 20778 ของโจทก์ที่ 2 มานานว่า 10 ปี โดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ คูร่องสวนกว้าง 2 เมตร ที่ดินโฉนดเลขที่ 20778 ของโจทก์ที่ 2 จึงตกอยู่ในภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 19077 ของจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาให้โจทก์ที่ 2 จดทะเบียนให้คูร่องสวนกว้าง 2 เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ 20778 ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานีจังหวัดปทุมธานี ตกอยู่ในภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 19077ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานีของจำเลยทั้งสอง ถ้าโจทก์ที่ 2 ไม่ปฏิบัติก็ให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ที่ 2

โจทก์ที่ 2 ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 2 ไม่ได้ปิดกั้นคูน้ำที่ไหลผ่านที่ดินของโจทก์ที่ 2 จึงไม่ได้โต้แย้งสิทธิของจำเลยทั้งสอง ที่ดินของโจทก์ที่ 2 และจำเลยทั้งสองเป็นที่ดินซึ่งแบ่งแยกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5140 ยังไม่ถึง 10 ปี คูร่องสวนในที่ดินของโจทก์ที่ 2 จึงไม่ตกอยู่ในภารจำยอมแก่ที่ดินของจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเปิดทางถนนเลียบคูกว้าง5 เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ 19077 ตำบลสวนพริกไทยอำเภอเมืองปทุทธานี จังหวัดปทุมธานี เป็นทางจำเป็นให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 5140, 20778 และ 20779 ตำบลสวนพริกไทยอำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนประตูรั้วสังกะสีและสิ่งกีดขวางออกจากทางจำเป็น หากไม่ปฏิบัติให้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้ดำเนินการได้ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมจึงเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องแย้ง และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องแย้ง

จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ทั้ง สาม ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เดิมโจทก์ที่ 1 และจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5140 ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานีจังหวัดปทุมธานี ต่อมาที่ดินแปลงดังกล่าวถูกแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ออกเป็นหลายโฉนดโดยโฉนดเลขที่ 5140, 20778 และ 20779เป็นของโจทก์ที่ 1 ส่วนโฉนดเลขที่ 19077 เป็นของจำเลยทั้งสองต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 20778 และ 20779 ให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ทีดินของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ทางด้านทิศตะวันตกติดคลองเปรมประชากรซึ่งเป็นทางน้ำชลประทานประเภท 2 อยู่ในความดูแลรักษาของอธิบดีกรมชลประทานตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามมีว่า คลองเปรมประชากรเป็นทางสาธารณะตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349, 1350 หรือไม่โจทก์ทั้งสามฎีกาว่า คลองเปรมประชากรซึ่งเป็นทางน้ำชลประทานประเภท 2 กรมชลประทานมีไว้เพื่อวัตถุประสงค์หลักคือ เก็บกักรักษาน้ำ ส่ง และระบายน้ำเพื่อการเกษตรมิใช่เพื่อการคมนาคมและการที่ประชาชนใช้คลองเปรมประชากรในการคมนาคมก็มีข้อจำกัดโดยอธิบดีกรมชลประทานอาจปิดเปิดหรือวางระเบียบได้ตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 ดังนั้นคลองเปรมประชากรดังกล่าวจึงไม่ใช่ทางสาธารณะตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349, 1350 นั้นพระราชบัญญัติ การชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 มาตรา 4 บัญญัติว่า"การชลประทาน" หมายความว่า กิจการที่กรมชลประทานจัดทำขึ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งน้ำ หรือเพื่อกักเก็บ รักษา ฯลฯ และหมายความรวมถึงการคมนาคมทางน้ำซึ่งอยู่ในเขตชลประทานด้วย และมาตรา 5 บัญญัติว่า"เพื่อประโยชน์แห่งพระราชบัญญัตินี้ ทางน้ำชลประทานแบ่งออกเป็น 4ประเภท คือประเภทที่ 1 ฯลฯ ประเภทที่ 2 ทางน้ำที่ใช้ในการคมนาคมแต่มีการชลประทานร่วมอยู่ด้วยเฉพาะภายในเขตที่ได้รับประโยชน์จากการชลประทานประเภทที่ 3 ฯลฯ" นายอุดม สกุลพราหมณ์หัวหน้าโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตเหนือ กรมชลประทานพยานโจทก์เบิกความว่า คลองเปรมประชากรเป็นคลองประเภท 2ตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 ประชาชนสามารถขับเรือหางยาวที่ไม่ใช่เรื่องโดยสารในคลองเปรมประชากรได้และในปัจจุบันเรือหางยาวก็สามารถแล่นในคลองดังกล่าวได้ซึ่งก็เจือสมกับสภาพคลองที่มีน้ำเต็มตามภาพถ่ายที่จำเลยส่งศาลดังนี้คลองเปรมประชากรจึงเป็นทางน้ำที่ราษฎรทั่วไปมีสิทธิใช้สัญจรไปมาได้ และเป็นทางสาธารณะตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349, 1350 แม้พระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 มาตรา 15 จะบัญญัติให้อธิบดีกรมชลประทานมีอำนาจ (1) ปิด ฯลฯ (2) ขุดลอก ฯลฯ (3) ห้ามจำกัดหรือกำหนดเงื่อนไขในการนำเรือ แพ ผ่านทางน้ำชลประทาน (1)หรือ (2) ก็ตาม แต่อำนาจดังกล่าวก็เป็นการกำหนดไว้เพื่อให้อธิบดีกรมชลประทานจัดการดูแลรักษาทางน้ำชลประทานเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและเพื่อประโยชน์ของการชลประทานเท่านั้นหาทำให้ทางน้ำที่ราษฎรใช้ในการคมนาคมกลายสภาพเป็นทางน้ำที่ไม่ใช่ทางสาธารณะไม่ ดังนั้นที่ดินของโจทก์ทั้งสามจึงมีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองไปสู่ทางสาธารณะ

พิพากษายืน

( ถวิล อินทรักษา - สุรินทร์ นาควิเชียร - สละ เทศรำพรรณ )

หมายเหตุ