กฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๔๙๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างในเขตเพลิงไหม้ พุทธศักราช ๒๔๗๖

กฎกระทรวง

(พ.ศ. ๒๔๙๘)

ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง

ในเขตเพลิงไหม้

พุทธศักราช ๒๔๗๖

------------------

                        อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง

เขตเพลิงไหม้ พุทธศักราช ๒๔๗๖  ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง

ในเขตเพลิงไหม้ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๖ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้

ดั่งต่อไปนี้

                        ข้อ  ๑  ในกฎกระทรวงนี้

                        (๑)  "อาคารที่พักอาศัย" หมายความว่า ตึก บ้าน เรือน โรง แพ ซึ่งโดยปกติ

บุคคลอาศัยอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน

                        (๒)  "อาคารพาณิชย์" หมายความว่า ห้างร้าน คลังสินค้า หรือโรงงานที่ไม่ใช้

เครื่องจักรขนาดใหญ่

                        (๓)  "ห้องแถว" หมายความว่า อาคารที่พักอาศัยหรืออาคารพาณิชย์ซึ่งปลูก

สร้างติดต่อกันเป็นแถวเกินกว่าสองห้องและประกอบด้วยวัตถุอันมิใช่วัตถุทนไฟเป็นส่วนใหญ่

                        (๔)  "ตึกแถว" หมายความว่า อาคารที่พักอาศัยหรืออาคารพาณิชย์ซึ่งปลูกสร้าง

ติดต่อกันเป็นแถวเกินกว่าสองห้องและประกอบด้วยวัตถุถาวรและทนไฟเป็นส่วนใหญ่

                        (๕)  โรงงานอุตสาหกรรม" หมายความว่า อาคารที่ทำขึ้นเพื่อเป็นโรงงานสำหรับ

ประกอบการอุตสาหกรรม โดยใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่เป็นปัจจัย

                        (๖)  "อาคารสาธารณ" หมายความว่า โรงมหรสพ หอประชุม โรงเรียน หรือ

สถานที่ซึ่งกำหนดให้เป็นที่ชุมนุมชนได้ทั่วไป เช่น โรงแรม ภัตตาคาร หรือโรงพยาบาลเป็นต้น

                        (๗)  "อาคารเลี้ยงสัตว์" หมายความว่า สิ่งปลูกสร้างเพื่อให้สัตว์พาหนะ เช่น ช้าง

ม้า โค กระบือ พักอาศัย

                        (๘)  "อาคารชั่วคราว" หมายความว่า สิ่งปลูกสร้างซึ่งกรมโยธาเทศบาล

พิจารณาเห็นว่า เพื่อใช้ประโยชน์เป็นการชั่วคราว และมีกำหนดเวลาที่จะรื้อถอน

                        (๙)  "อาคารพิเศษ" หมายความถึงอาคารดังต่อไปนี้

                               ก.  โรงมหรสพ อัฒจันทร์ หอประชุม

                               ข.  อู่เรือ คานเรือ หรือท่าเรือ สำหรับเรือขนาดใหญ่เกินกว่า ๑๐๐ ตัน และ

โป๊ะ (ท่าเรือ)

                               ค.  อาคารสูงกว่า ๑๕ เมตร หรือสะพานในที่ซึ่งติดต่อกับทางสาธารณหรือ

อาคารที่มีคานหรือโครงหลังคาช่วงหนึ่งยาวเกิน ๑๐ เมตร

                        (๑๐)  "ผู้ออกแบบ" หมายความว่า ผู้รับผิดชอบในการคำนวณเขียนแบบและ

กำหนดรายการเพื่อใช้ในการก่อสร้าง

                        (๑๑)  "นายงาน" หมายความว่า ผู้มีหน้าที่ควบคุมการปลูกสร้างให้ผู้ได้รับ

อนุญาต

                        (๑๒)  "นายช่าง" หมายความว่า นายช่างในกรมโยธาเทศบาล หรือนายช่างซึ่ง

อธิบดีกรมโยธาเทศบาลมอบหมาย

                        (๑๓)  "แผนผัง"  หมายความว่า แผนที่แสดงลักษณะที่ดินบริเวณปลูกสร้าง

อาคาร

                        (๑๔)  "แบบก่อสร้าง" หมายความว่า แบบเพื่อใช้ประโยชน์ในการปลูกสร้างตัว

อาคาร

                        (๑๕)  "รายการ" หมายความว่า ข้อความชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวแก่การปลูก

สร้างตามแนวของแบบก่อสร้างนั้น

                        (๑๖)  "รายการคำนวณ" หมายความว่า รายละเอียดแสดงวิธีการคิดกำลังต้าน

ทานของส่วนอาคารตามที่ปรากฏในแบบก่อสร้าง

                        (๑๗)  "แบบสังเขป" หมายความว่า แบบชนิดซึ่งเขียนไว้พอเป็นประมาณ

                        (๑๘)  "แผนอาคาร" หมายความว่า แบบแสดงลักษณะส่วนราบของอาคาร

                        (๑๙)  "รูปด้าน" หมายความว่า  แบบแสดงลักษณะส่วนตั้งภายนอกของอาคาร

                        (๒๐)  "รูปตัด" หมายความว่า แบบแสดงลักษณะส่วนตั้งภายในของอาคาร

                        (๒๑)  "พื้นอาคาร" หมายความว่า เนื้อที่ส่วนราบของอาคารซึ่งอยู่ภายใน

ขอบเขตของคานหรือรอดที่รับพื้นนั้นหรือภายในพื้นนั้น หรือภายในขอบเขตของเสาอาคาร

                        (๒๒)  "ฝา" หมายความว่า ส่วนก่อสร้างในด้านตั้งซึ่งแบ่งกั้นพื้นอาคารให้เป็น

ห้อง ๆ

                        (๒๓)  "ผนัง" หมายความว่า ส่วนก่อสร้างในด้านตั้งซึ่งกั้นด้านนอกของอาคาร

ให้เป็นหลังหรือหน่วยจากกัน

                        (๒๔)  "ผนังกันไฟ" หมายความว่า ผนังซึ่งทำด้วยวัตถุทนไฟและไม่มีช่องที่จะให้

ไฟผ่านได้

                        (๒๕)  "รากฐาน" หมายความว่า ส่วนรับน้ำหนักของอาคาร นับจากใต้พื้นชั้น

ล่างลงไปจนถึงที่ฝังอยู่ในดิน

                        (๒๖)  "เสาเข็ม" หมายความว่า เสาที่ตอกฝังลงในพื้นดินเพื่อช่วยรับน้ำหนัก

บรรทุกของอาคาร

                        (๒๗)  "ช่วงบันได" หมายความระยะตั้งบันไดซึ่งมีขั้นต่อกันโดยตลอด

                        (๒๘)  "ลูกตั้ง" หมายความว่า ระยะตั้งของขั้นบันได

                        (๒๙)  "ลูกนอน" หมายความว่า  ระยะราบของขั้นบันได

                        (๓๐)  "บ่อตรวจระบาย" หมายความว่า  ส่วนที่เปิดได้ของท่อระบายซึ่งกำหนด

ไว้ใช้ในการชำระล้างท่อ

                        (๓๑)  "บ่อพักขยะ" หมายความว่า ส่วนของทางระบายน้ำกำหนดกั้นขยะให้

หยุดระบายไปด้วยกับน้ำ

                        (๓๒)  "อุปกรณ์อนามัย" หมายความว่า เครื่องประกอบอันใช้ประโยชน์ในการ

สุขาภิบาลของอาคาร

                        (๓๓)  "บ่ออาจม" หมายความว่า บ่อพักอุจจาระหรือสิ่งโสโครกอันไม่มีวิธีการ

ระบายออกไปตามสภาพปกติ

                        (๓๔)  "ลิฟต์" หมายความว่า เครื่องสำหรับใช้บรรทุกบุคคลหรือของขึ้นลง

ระหว่างพื้นต่าง ๆ ของอาคาร

                        (๓๕)  "ท่อเอกประปา" หมายความว่า ท่อน้ำประปาในทางสาธารณซึ่งเป็น

สมบัติของการประปา

                        (๓๖)  "วัตถุทนไฟ" หมายความว่า  วัตถุก่อสร้างซึ่งไม่เป็นเชื้อเพลิง

                        (๓๗)  "วัตถุถาวร" หมายความว่า วัตถุทนไฟซึ่งตามปกติไม่แปลงสภาพได้ง่าย

โดยน้ำ ไฟ หรือดินฟ้าอากาศ

                        (๓๘)  "อิฐธรรมดา" หมายความว่า ดินชนิดที่ปั้นขึ้นเป็นแท่งโดยไม่ใช้เครื่องอัด

และเผาไฟสุกแล้ว

                        (๓๙)   "อิฐอัด" หมายความว่า อิฐชนิดซึ่งได้ประดิษฐ์ขึ้นโดยใช้เครื่องอัดให้เนื้อ

แน่นก่อนเผา

                        (๔๐)  "คอนกรีต" หมายความว่า วัตถุซึ่งประกอบขึ้นด้วยส่วนผสมของซิเมนต์

ทราบ หิน และน้ำ

                        (๔๑)  "คอนกรีตเสริมเหล็ก" หมายความว่า คอนกรีตซึ่งมีเหล็กฝังภายในให้ทำ

หน้าที่รับแรงได้มากขึ้นกว่าปกติ

                        (๔๒)  "เหล็กหล่อ" หมายความว่า  เหล็กซึ่งถลุงมาจากแร่เหล็ก อันจะใช้ชุบไม่

ได้ผล

                        (๔๓)  "เหล็กล้วน" หมายความว่า เหล็กที่มีธาตุอื่นเจือปนน้อยที่สุด และจะใช้

ชุบไม่ได้ผล

                        (๔๔)  "เหล็กถ่าน หมายความว่า  เหล็กซึ่งมีธาตุถ่านผสมทำให้เหนียวกว่าปกติ

อันจะใช้ชุมได้ผล

                        (๔๕)  "เหล็กเสริม" หมายความว่า เหล็กถ่านที่ใช้ฝังในเนื้อคอนกรีตเพื่อเพิ่ม

กำลังขึ้น

                        (๔๖)  "ไม้อ่อน" หมายความว่า  ไม้เนื้ออ่อนซึ่งไม่คงทนต่อดินฟ้าอากาศและตัว

สัตว์ เช่น ไม้ยาง หรือไม้ตะแบก

                        (๔๗)  "ไม้แก่น" หมายความว่า  ไม้เนื้อแข็งซึ่งทนต่อดินฟ้าอากาศและตัวสัตว์ได้

ดีตามสภาพพอสมควร เช่น ไม้เต็งรัง ตะเคียนทอง เคี่ยม

                        (๔๘)  "ปูนขาว" หมายความว่า วัตถุประสานซึ่งผลิตขึ้นจากหินธาตุปูนหรือ

เปลือกหอย

                        (๔๙)  "ซิเมนต์" หมายความว่า วัตถุประสานซึ่งผลิตขึ้นจากแร่ธาตุปูนและธาตุ

ดินผสมกันเป็นส่วนใหญ่

                        (๕๐)  "ทราย"  หมายความว่า ก้อนหินเมล็ดเล็กละเอียดเกิดตามธรรมชาติซึ่งมี

ขนาดโตไม่เกิน ๓ มิลลิเมตร

                        (๕๑)  "กรวด" หมายความว่า ก้อนหินเกิดตามธรรมชาติขนาดโตเกินกว่า ๓

มิลลิเมตร

                        (๕๒)   "ดินดาน" หมายความว่า  หินชนิดที่มีเนื้อเปื่อยไม่แน่นเป็นก้อนแกร่ง

                        (๕๓)  "หินปูน" หมายความว่า หินธาตุปูนซึ่งมีเนื้อแน่นแกร่งเป็นก้อนปึก

                        (๕๔)  "หินทราย" หมายความว่า หินประกอบด้วยเมล็ดทรายและประสานด้วย

วัตถุอื่นเป็นก้อนปึก

                        (๕๕)  "หินอัคนี" หมายความว่า หินที่มีเนื้อแข็งแกร่งเป็นก้อนปึกโดยไม่ต้อง

อาศัยวัตถุอื่นประสาน

                        (๕๖)  "แรงประลัย" หมายความว่า แรงขนาดที่จะทำให้วัตถุแตกแยกออกจาก

กันเป็นส่วน

                        (๕๗)  "แรงดึง" หมายความว่า แรงที่จะทำให้วัตถุแยกออกห่างจากกัน

                        (๕๘)  "แรงอัด" หมายความว่า  แรงที่จะทำให้วัตถุทลายเข้าหากัน

                        (๕๙)  "แรงเฉือน" หมายความว่า แรงที่จะทำให้วัตถุขาดออกจากกันดุจกรรไกร

ตัด

                        (๖๐)  "ส่วนปลอดภัย" หมายความว่า อัตราส่วนที่ใช้ทอนแรงประลัยลงให้ถึง

ขนาดที่จะใช้ได้ปลอดภัย

                        (๖๑)  "น้ำหนักบรรทุก" หมายความว่า  น้ำหนักที่จะกำหนดว่าจะมาเพิ่มขึ้นบน

อาคาร นอกจากน้ำหนักของตัวอาคารนั้นเอง

                        (๖๒)  "ส่วนลาด" หมายความว่า  ส่วนระยะตั้งเทียบกับส่วนระยะยาวของฐาน

                        (๖๓)  "ทางระบายน้ำสาธารณ" หมายความว่า ช่องน้ำไหลตามทางสาธารณ ซึ่ง

กำหนดไว้ให้ระบายน้ำออกจากอาคารได้

                        (๖๔)  "ทางสาธารณ" หมายความว่า ที่ดินที่ประชาชน มีสิทธิใช้เป็นทาง

คมนาคมได้

                        (๖๕)  "ระดับถนน" หมายความว่า ความสูงของยอดถนนจากที่ดินใกล้ชิดเทียบ

กับระดับน้ำทะเล

                        (๖๖)  "แนวถนน" หมายความว่า แนวเขตที่กำหนดไว้ให้เป็นทางสาธารณทาง

บก

                                                                   หมวด ๑

                                                        การอนุญาตปลูกสร้าง

                        ข้อ  ๒ เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมก่อสร้างในเขต

เพลิงไหม้ พุทธศักราช ๒๔๗๖ ณ ที่ใดแล้ว ผู้ใดจะขออนุญาตปลูกสร้างอาคารตามมาตรา ๖ ให้ยื่น

คำขอต่อกรมโยธาเทศบาลตามแบบ "ย.ธ.๑" ท้ายกฎกระทรวงนี้ พร้อมด้วยแผนผังแบบก่อสร้าง

และรายการ อย่างละ ๓ ชุด

                        ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารจะต้องเป็นเจ้าของอาคารที่จะต้องปลูกสร้างขึ้น

หรือเป็นตัวแทนของผู้นั้น ซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย

                        ข้อ  ๓  ใบอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารตามความในมาตรา ๖ ให้ออกตามแบบ

"ย.ธ.๒" ท้ายกฎกระทรวงนี้

                        ข้อ  ๔  คำสั่งของกรมโยธาเทศบาลให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมแบบก่อ

สร้าง หรือรายการตามความในมาตรา ๑๐ ให้ทำตามแบบ "ย.ธ.๓" ท้ายกฎกระทรวงนี้ และให้จัด

ส่งให้ผู้ขออนุญาตโดยให้ลงลายมือชื่อรับเป็นหลักฐานไว้ แต่ถ้าส่งให้ไม่ได้ก็ให้ประกาศไว้ให้ทราบที่

ป้ายโฆษณาของกรมโยธาเทศบาลและ ณ สถานที่ปลูกสร้าง

                        ข้อ  ๕  สำหรับอาคารดั่งต่อไปนี้

                        (๑)  พระที่นั่งหรือพระราชวัง

                        (๒)  อาคารของรัฐบาลซึ่งใช้เป็นที่ทำงานในราชการหรือเพื่อสาธารณประโยชน์

และ

                        (๓)  วัดวาอารามหรือโบราณสถานซึ่งอยู่ในความควบคุมของกระทรวงวัฒน

ธรรม เมื่อแผนผังแบบก่อสร้างและรายการสิ่งที่ปลูกสร้างนั้นกระทรวงวัฒนธรรมได้รับรองแล้ว

                        ให้เจ้าหน้าที่บังคับบัญชาการก่อสร้างแจ้งให้กรมโยธาเทศบาลทราบเป็นหนังสือ

ก่อนกำหนดก่อสร้างอย่างน้อยเป็นเวลา ๓๐ วัน พร้อมด้วยแผนผังและแบบก่อสร้าง ๑ ชุด

                        ข้อ  ๖  ถ้ากรมโยธาเทศบาลมีข้อแก้ไขสำหรับอาคารตามความในข้อ ๕ แห่งกฎ

กระทรวงนี้ ก็ให้มีหนังสือแจ้งเหตุผลให้เจ้าหน้าที่บังคับบัญชาการก่อสร้างทราบภายในกำหนด ๑๕

วัน นับแต่เวลาที่ได้รับแจ้งความนั้น

                                                                       หมวด ๒

                                                   แผนผัง แบบก่อสร้าง และรายการ

                                                                       ส่วนที่ ๑

                                                                        แผนผัง

                        ข้อ  ๗  แผนผังให้ใช้มาตราส่วนไม่เล็กกว่า ๑ ใน ๑,๐๐๐ แสดงขอบเขตที่ดิน

และบริเวณติดต่อ และแสดงขอบนอกของอาคารที่มีอยู่แล้ว กับอาคารที่ขออนุญาตปลูกสร้างใหม่

ด้วยลักษณะและเครื่องหมายต่างกันให้ชัดเจนพร้อมด้วยเครื่องหมายทิศ

                        ข้อ  ๘  ในแผนผังให้แสดงทางสาธารณหรือแนวถนนที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ว่า

ด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณนี้ แล้วแต่กรณี ที่ติดต่อกับที่ดินปลูกสร้างโดยบริบูรณ์กับ

ทางระบายน้ำออกจากอาคารที่ปลูกสร้างนั้น จนถึงทางระบายน้ำสาธารณ และตามแนวทางระบาย

น้ำนั้นให้แสดงเครื่องหมายชี้ทางน้ำไหลพร้อมด้วยส่วนลาด

                        ข้อ  ๙  ในแผนผังให้แสดงระดับของพื้นชั้นล่างของอาคารและให้แสดงการ

สัมพันธ์กับระดับถนนสาธารณ หรือระดับพื้นดินตรงที่ปลูกสร้าง

                                                                     ส่วนที่ ๒

                                                                  แบบก่อสร้าง

                        ข้อ ๑๐ แบบก่อสร้างให้ใช้มาตราส่วนไม่เล็กกว่า ๑ ใน ๑๐๐ แสดงแผนรากฐาน

ของอาคารและพื้นชั้นต่าง ๆ ของอาคารรูปด้านและรูปตัดเนื่องกันไม่ต่ำกว่า ๒ ด้าน รูปรายละเอียด

ส่วนสำคัญ ขนาด และเครื่องหมายวัตถุประกอบแผนอาคารชัดเจนพอที่จะคิดรายการและสอบราย

การคำนวณได้

                        ข้อ ๑๑ แบบก่อสร้างอาคารสาธารณและอาคารที่บุคคลอาจเข้าอยู่หรือใช้สอย

ได้ตั้งแต่สามชั้นขึ้นไป ให้แสดงรายการคำนวณกำลังของส่วนสำคัญต่าง ๆ ของอาคารไว้โดย

บริบูรณ์

                        ข้อ ๑๒ อาคารพิเศษนั้น นอกจากต้องปฏิบัติตามกฎหมายต่าง ๆ ที่มีกำหนด

ควบคุมอยู่โดยเฉพาะแล้ว ให้เสนอรายการคำนวณอย่างละเอียดด้วย

                        ข้อ ๑๓ แบบก่อสร้างสำหรับปลูกสร้างอาคารโดยต่อเติมหรือเปลี่ยนแปลง

อาคารที่เพลิงไหม้ ให้แสดงแบบของส่วนเก่าและส่วนที่จะต่อเติมหรือเปลี่ยนแปลงให้เห็นชัดเจนต่าง

กัน

                        ข้อ ๑๔ อาคารชั่วคราวเพื่อประโยชน์ในการปลูกสร้างอาคารถาวร หรือเพื่อ

ประโยชน์อย่างอื่นจะเสนอแบบก่อสร้างเป็นแบบสังเขปก็ได้

                                                            ส่วนที่ ๓

                                                             รายการ

                        ข้อ ๑๕ รายการให้แสดงลักษณะของวัตถุก่อสร้างอันเป็นส่วนประกอบสำคัญ

ของอาคารโดยละเอียดชัดเจนพร้อมด้วยวิธีก่อสร้าง

                                                            ส่วนที่ ๔

                                                              ทั่วไป

                        ข้อ ๑๖ มาตราส่วน ขนาด ระยะ น้ำหนัก และหน่วยการคำนวณต่าง ๆ ของแผน

ผัง และแบบก่อสร้าง รายการ หรือรายการคำนวณนั้น ให้ใช้มาตราเมตริก

                        ข้อ ๑๗ ในแผนผัง แบบก่อสร้าง และรายการนั้น ให้แจ้งนามและสำนักงานหรือ

ที่อยู่ของผู้กำหนดแผนผังออกแบบก่อสร้างทำรายการและคิดรายการคำนวณไว้ด้วย พร้อมกับ

เครื่องหมายวิทยฐานะ (ถ้ามี) ว่าเป็นผู้สามารถสมควรทำการเหล่านั้นได้

                                                            หมวด ๓

                                                     ลักษณะอาคารต่าง ๆ

                        ข้อ ๑๘ อาคารที่พักอาศัยซึ่งมิได้ทำด้วยวัตถุถาวรหรือทนไฟเป็นส่วนใหญ่นั้นจะ

มีครัวไฟอยู่ในอาคารนั้นไม่ได้ และจะปลูกสร้างเกินกว่าสองชั้นไม่ได้

                        ข้อ ๑๙ อาคารที่พักอาศัยเกินกว่าสองชั้น ต้องทำด้วยวัตถุถาวรและทนไฟเป็น

ส่วนใหญ่ และต้องมีทางลงหนีไฟไว้ด้วย เว้นแต่มีบันไดขึ้นลงมากพอที่จะใช้เป็นทางหนีไฟได้ดีพอ

สมควรแล้ว

                        ข้อ ๒๐ ห้องแถว ตึกแถว ให้ทำกว้างไม่น้อยกว่า ๓๕๐ เซนติเมตรระหว่างผนัง

และต้องมีทางคนเข้าออกได้ทั้งข้างหน้ากับข้างหลัง ถ้าปลูกสร้างติดต่อกันให้มีผนังกันไฟทุก ๆ ระยะ

๕ ห้องเป็นอย่างน้อย

                        ข้อ ๒๑ อาคารทุกชนิดจะปลูกสร้างบนที่ดินในบริเวณเพลิงไหม้ซึ่งถมด้วยขยะ

มูลฝอยมิได้ เว้นแต่ขยะมูลฝอยนั้นจะได้กลายสภาพเป็นดินแล้ว หรือได้ทับด้วยดินกระทุ้งแน่นไม่ต่ำ

กว่า ๓๐ เซนติเมตร และมีลักษณะไม่เป็นอันตรายแก่อนามัย และมั่นคงพอแก่การปลูกสร้างแล้ว

                        ข้อ ๒๒ รั้ว หรือกำแพงกั้นเขต ให้ทำได้สูงไม่เกิน ๓๐๐ เซนติเมตรเหนือระดับ

ถนน ประตูรั้วหรือกำแพงทางรถเข้าเมื่อมีคานบนให้วางคานสูงตั้งแต่ ๓๐๐ เซนติเมตรขึ้นไปจาก

ระดับถนน

                        ข้อ ๒๓ ป้ายโฆษณาที่เป็นอาคารต้องติดตั้งโดยไม่บังช่องลม หน้าต่าง หรือ

ประตู และต้องติดตั้งด้วยวัตถุติดต่ออันถาวรเพื่อป้องกันการหลุดออก

                        ข้อ ๒๔ สะพานสำหรับรถข้ามได้ต้องมีช่องกว้างเป็นทางจาจรไม่น้อยกว่า ๓๐๐

เซนติเมตร และมีส่วนลาดไม่ชันกว่า ๑ ใน ๑๐ ถ้ามีหลังคาคลุมต้องวางคานบนสูงไม่ต่ำกว่า ๓๐๐

เซนติเมตรจากระดับพื้นสะพาน

                                                                   หมวด ๔

                                                        ส่วนต่าง ๆ ของอาคาร

                        ข้อ ๒๕ ห้องนอนหรือห้องที่ใช้เป็นที่พักอาศัยในอาคารให้มีส่วนกว้าง หรือส่วน

ยาวไม่ต่ำกว่า ๒๕๐ เซนติเมตร กับรวมเนื้อที่พ้นทั้งหมดไม่น้อยกว่า ๙ ตารางเมตร และให้มีช่อง

ประตูและหน้าต่างเป็นเนื้อที่รวมกันไม่น้อยกว่าส่วน ๑ ใน ๑๐ ของพื้นที่ของห้องนั้น โดยไม่รวมนับ

ส่วนประตู หรือหน้าต่างอันติดต่อกับห้องอื่น

                        ข้อ ๒๖ ห้องอาคารซึ่งบุคคลเข้าไปได้จะต้องมีช่องระบายลมให้เพียงพอในเมื่อ

ได้ปิดประตูทั้งหมด วิธีระบายลมนั้นให้ทำตามแบบซึ่งเหมาะสมกับสภาพของอาคารนั้น

                        ข้อ ๒๗ ช่องทางเดินภายในอาคารให้ทำกว้างไม่น้อยกว่า ๑๐๐ เซนติเมตร กับมิ

ให้มีเสากีดกั้นให้ส่วนหนึ่งส่วนใดแคบกว่ากำหนดนั้น ทั้งให้มีแสงสว่างธรรมชาติแลเห็นได้เวลา

กลางวันด้วย

                        ข้อ ๒๘ หน้าต่างและประตูของห้องนอนหรือห้องพักอาศัย ให้ทำสูงพื้นถึงยอด

ไม่น้อยกว่า ๒๐๐ เซนติเมตรและให้บุคคลสามารถเปิดออกจากห้องนั้นได้โดยสะดวก

                        ข้อ ๒๙ ระยะดิ่งระหว่างพื้นถึงเพดานตรงยอดฝาหรือยอดผนังสำหรับห้องใน

อาคารที่พักอาศัยต้องไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ เซนติเมตร สำหรับห้องทั้งหลายอันเป็นประธานในอาคารสา

ธารณโรงงานอุสาหกรรม อาคารพาณิชย์ ห้องแถว ตึกแถว โรงรถหรือคอกสัตว์ที่มีห้องคนพักอาศัย

อยู่ชิ้นบน ระยะนั้นต้องไม่ต่ำกว่า ๓๕๐ เซนติเมตร

                        ข้อ ๓๐ พื้นชั้นล่างของอาคารที่พักอาศัยนั้นต้องมีระดับสูงกว่าพื้นดินปลูกสร้าง

อาคารอย่างน้อย ๙๐ เซนติเมตร แต่ถ้าเป็นพื้นซิเมนต์ อิฐ หิน หรือวัตถุแข็งอย่างอื่นที่สร้างตันติด

พื้นดิน ต้องมีระดับสูงกว่าพื้นดินปลูกสร้างอาคารอย่างน้อย ๑๐ เซนติเมตร และถ้าเป็นอาคารตั้งอยู่

ริมแนวถนนในที่ราบจะเป็นอาคารที่พักอาศัยหรือไม่ก็ตาม ต้องสูงกว่าระดับถนนนั้นไม่ต่ำกว่า ๓๐

เซนติเมตร

                        ข้อ ๓๑ ถ้าครัวไฟอยู่ติดกับห้องนอนหรือห้องส้วม ห้ามมิให้มีประตู หน้าต่าง

หน้าต่าง หรือช่องลมในด้านที่ติดต่อกันนั้น

                        ข้อ ๓๒ เตาไฟสำหรับการอุตสาหกรรมหรือการพาณิชย์ชนิดเป็นเตาก่อหรือเตา

เหล็กให้ตั้งได้เฉพาะในอาคารซึ่งประกอบด้วยวัตถุทนไฟเป็นส่วนใหญ่ เตาไฟและปล่องระบายควัน

ไฟจะต้องทำมิให้ฝา หรือผนัง หรือหลังคาถูกความร้อนจัดได้

                        ข้อ ๓๓ บันไดสำหรับอาคารที่พักอาศัยต้องทำขนาดกว้างไม่น้อยกว่า ๙๐

เซนติเมตร ช่วงหนึ่งไม่สูงเกิน ๓๐๐ เซนติเมตรและลูกตั้งไม่สูงกว่า ๒๐ เซนติเมตร ลูกนอนไม่แคบ

กว่า ๒๒ เซนติเมตร ถ้าตอนใดต้องทำเลี้ยวมีบันไดเวียน ส่วนแคบที่สุดของลูกนอนต้องไม่แคบกว่า

๑๐ เซนติเมตร

                        ข้อ ๓๔ บันไดอันเป็นประธานสำหรับอาคารสาธารณ โรงงานอุตสาหกรรม และ

อาคารพาณิชย์ ต้องทำขนาดกว้างไม่น้อยกว่า ๑๕๐ เซนติเมตร ช่วงหนึ่งไม่สูงเกิน ๔๐๐ เซนติเมตร

ลูกตั้งไม่สูงกว่า ๑๙ เซนติเมตร ลูกนอนไม่แคบกว่า ๒๔ เซนติเมตร ถ้าไม่มีบันไดขึ้นลงให้มากพอ

ที่จะให้เป็นทางลงหนีไฟได้ดีพอสมควรแล้ว จะต้องมีทางลงหนีไฟอีก ตอนใดที่ต้องทำเลี้ยวมีบันได

เวียน ส่วนแคบที่สุดของลูกนอนต้องไม่แคบกว่า ๑๐ เซนติเมตร

                        ข้อ ๓๕ บันไดซึ่งมีช่วงสูงกว่าระยะที่กำหนดไว้ ให้ทำที่พักมีขนาดกว้างยาวไม่

น้อยกว่าส่วนกว้างของบันไดนั้น

                        ข้อ ๓๖ วัตถุมุงหลังคาให้ทำด้วยวัตถุทนไฟ เว้นแต่อาคารซึ่งตั้งอยู่ห่างจาก

อาคารอื่นซึ่งมุงด้วยวัตถุทนไฟ หรือจากเขตที่ดินหรือทางสาธารณเกิน ๔๐ เมตร จึงจะใช้มุงด้วย

วัตถุอื่นได้

                        ข้อ ๓๗ ลิฟต์สำหรับใช้บรรทุกบุคคล ให้ทำได้แต่ในอาคารซึ่งประกอบด้วยวัตถุ

ทนไฟเป็นส่วนใหญ่ และโดยเฉพาะส่วนต่อเนื่องกับลิฟต์นั้นต้องเป็นวัตถุทนไฟทั้งสิ้น และลิฟต์นั้น

จะต้องเป็นส่วนปลอดภัยไม่น้อยกว่า ๔ เท่าของน้ำหนักที่กำหนดใช้

                        ข้อ ๓๘ อาคารซึ่งต่อเนื่องกับทางสาธารณนั้น ถ้ากรมโยธาเทศบาลเห็นสมควร

จะอนุญาตให้ส่วนรากฐานซึ่งอยู่ใต้ดินของอาคารนั้นเหลื่อมล้ำเข้าไปในทางสาธารณก็ได้ แต่ต้องไม่

เกิน ๑๐๐ เซนติเมตร และต้องไม่กีดขวางสิ่งปลูกสร้างซึ่งได้มีอยู่ในทางสาธารณนั้นแล้ว และระดับ

ของส่วนรากฐานที่ยื่นออกมาในทางสาธารณจะต้องไม่สูงกว่าระดับที่กรมโยธาเทศบาลกำหนดให้

ความลึกของรากฐานนั้นจะให้อยู่ในระดับใด ให้กรมโยธาเทศบาลกำหนด

                        ข้อ ๓๙ รากฐานของอาคารจะต้องทำเป็นลักษณะถาวรมั่นคงพอที่รับน้ำหนัก

ของตัวอาคารและน้ำหนักบรรทุกได้โดยปลอดภัย ในกรณีสงสัยให้กรมโยธาเทศบาลเรียกรายการ

คำนวณ หรือผลของการทดลอง หรือทั้งสองอย่าง เพื่อประกอบการพิจารณาได้

                                                                หมวด ๕

                                                กำลังวัตถุและน้ำหนักบรรทุก

                        ข้อ ๔๐ ในการคำนวณกำลังต้านทานแรงดันส่วนอาคารประกอบด้วยอิฐ

ประสาน ด้วยปูนผสมส่วนต่าง ๆ ให้กำหนดใช้ไม่เกินอัตราต่อไปนี้

[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]

                        ข้อ ๔๑ ให้ใช้ส่วนปลอดภัยโดยใช้กำลังไม่เกิน ๑ ใน ๔ ของแรงประลัยแห่งเหล็ก

กำลังต้านทานแรงประเภทต่าง ๆ ของส่วนอาคารประกอบด้วยเหล็กชนิดต่าง ๆ ที่มีส่วนปลอดภัย

โดยโดยใช้กำลังไม่เกิน ๑ ใน ๔ ของแรงประลัยแห่งเหล็กนั้น ถ้าไม่เอกสารของผู้ชำนาญแสดงผล

การทดลองให้เชื่อถือได้เป็นอย่างอื่น ให้คำนวณโดยอัตราแรงไม่เกินอัตราต่อไปนี้

[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]

                        ข้อ ๔๒ ให้ใช้ส่วนปลอดโดยใช้กำลังไม่เกิน ๑ ใน ๔ ของแรงประลัยแห่งไม้ แต่

ไม่ให้ความแอ่นของไม้เกิน ๑/๒๐๐ ของช่วงคาน

                        กำลังต้านทานแรงประเภทต่าง ๆ ของไม้ชนิดต่าง ๆ ที่มีส่วนปลอดภัยโดยใช้

กำลังไม่เกิน ๑ ใน ๔  ของแรงประลัยแห่งไม้นั้น ถ้าไม่มีเอกสารของผู้ชำนาญแสดงผลทดลองให้เชื่อ

ถือได้เป็นอย่างอื่น ให้คำนวณโดยอัตราแรงไม่เกินอัตราต่อไปนี้

[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]

                        ข้อ ๔๓ ให้ใช้ปลอดภัยโดยใช้กำลังไม่เกิน ๑ ใน ๔ ของแรงประลัยแห่งคอนกรีต

เมื่อครบอายุ ๒๘ วันแล้ว

                        กำลังต้านทานแรงอัดของคอนกรีตธรรมดาที่มีส่วนปลอดภัยโดยใช้กำลังไม่เกิน

๑ ใน ๔ ของแรงประลัยแห่งคอนกรีตเมื่อครบอายุ ๒๘ วันแล้วนั้น ถ้าไม่มีเอกสารของผู้ชำนาญ

แสดงผลทดลองให้เชื่อถือได้เป็นอย่างอื่น ให้คำนวณโดยอัตราแรงต่อไปนี้

[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]

                        ถ้าความยาวของเสามากกว่า ๑๒ เท่าของด้านที่แคบ หรือของเส้นผ่านศูนย์

กลาง ให้ใช้ค่าในตารางข้างบนคูณด้วย (๑.๓๓ - ส/๓๕บ)

                        หมายเหตุ ส = ความยาวของเสา

                                     บ = ด้านที่แคบของเสา

                        กฎนี้ให้ใช้ได้ทั้งเสาคอนกรีตและเสาไม้

                        ข้อ ๔๔ ในการคำนวณกำลังแรงของส่วนอาคารประกอบด้วยคอนกรีตเสริม

เหล็ก ให้ผู้คำนวณแสดงรายการคำนวณจนเป็นที่พอใจกรมโยธาเทศบาลว่าอยู่ในลักษณะปลอดภัย

ถ้าไม่มีเอกสารของผู้ชำนาญแสดงผลทดลองให้เชื่อถือเป็นอย่างอื่นได้ ให้ถือหลักการคำนวณดั่งต่อ

ไปนี้

                        (๑)  พิกัดยึดของคอนกรีต = ๑.๔ x ๑๐ ๖ เมตริกตันต่อ ๑ ตารางเมตร

                        (๒)  พิกัดยึดของเหล็กเสริม = ๒๑ x ๑๐ ๖ เมตริกตันต่อ ๑ ตารางเมตร

                        (๓)  ส่วนผสมของคอนกรีต = ซิเมนต์ ๑ ทราย ๒ และหิน ๔ ตามปริมาตร

                        (๔)  แรงอัดของคอนกรีตไม่เกิน ๔๕ กิโลกรัม ต่อ ๑ ตารางเซนติเมตร

                        (๕)  แรงดึงของเหล็กเสริมไม่เกิน ๑,๒๐๐ กิโลกรัม ต่อ ๑ ตารางเซนติเมตร

                        (๖)  แรงเฉือนของเหล็กเสริมไม่เกิน ๘๕๐ กิโลกรัม ต่อ ๑ ตารางเซนติเมตร

                        (๗)  สำหรับคานคอนกรีตเสริมเหล็ก ให้มีคอนกรีตหุ้มเหล็กหนาไม่น้อยกว่า

๒.๕ เซนติเมตร และไม่ต่ำกว่าขนาดของเหล็กเสริมเส้นใหญ่ที่สุด

                        (๘)  สำหรับพื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก ให้มีคอนกรีตหุ้มเหล็กหนาไม่น้อยกว่า ๑.๕

เซนติเมตร และไม่ต่ำกว่าขนาดของเหล็กเสริมเส้นใหญ่ที่สุด

                        (๙)  ให้มีช่องว่างระหว่างเหล็กที่ขนานกันไม่น้อยกว่า ๒.๕ เซนติเมตรและไม่ต่ำ

กว่าขนาดของเหล็กเสริมอย่างไรก็ดีต้องโตกว่าขนาดของหินที่โตที่สุดที่ใช้อยู่ ๐.๕ เซนติเมตร

                        (๑๐) คานคอนกรีตเสริมเหล็กต้องมีส่วนยาวไม่เกิน ๒๔ เท่าของส่วนหนา เว้น

แต่มีเหตุผลเป็นพิเศษ และไม่ใช้เหล็กเสริมแนวนอกเล็กกว่า ๖ มิลลิเมตร

                        (๑๑) สำหรับเสาคอนกรีตเสริมเหล็กรับน้ำหนัก ต้องมีเหล็กเสริมตามลำไม่น้อย

กว่า ๑ เส้นทุกมุม ถ้าเป็นเสากลมต้องไม่น้อยกว่า ๖ เส้น และมีส่วนเหล็กไม่น้อยกว่า ๐.๘ ใน ๑๐๐

ของคอนกรีต และขนาดของเหล็กเสริมต้องไม่น้อยกว่า ๑๒.๗ มิลลิเมตร ปริมาตรของเหล็กปลอก

ต้องไม่น้อยกว่า ๐.๔ ใน ๑๐๐ ของปริมาตรของคอนกรีต และระยะห่างของเหล็กปลอก ต้องไม่เกิน

๑๖ เท่าของขนาดเหล็กแกน หรือ ๔๘ เท่าของขนาดเหล็กปลอก หรือไม่เกินด้านแคบที่สุดของเสา

                        ข้อ ๔๕ น้ำหนักบรรทุกบนพื้นที่จะให้ในการคำนวณออกแบบอาคารประเภท

ต่าง ๆ ต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่กำหนดไว้ดั่งต่อไปนี้

                        (๑)  โรงเก็บรถยนต์ (นอกจากโรงเก็บรถยนต์ส่วนบุคคล) โรงเก็บเครื่องจักร โรง

งานอุตสาหกรรม ตั้งแต่ ๕๐๐ กิโลกรัม ต่อ ๑ ตารางเมตรขึ้นไป

                        (๒)  คลังสินค้า ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ โรงกีฬา ๕๐๐ กิโลกรัม ต่อ ๑ ตารางเมตร

                        (๓)  โรงงาน โรงพิมพ์ ร้านขายของ โรงมหรสพ หอประชุม ภัตตาคาร  ๔๐๐

กิโลกรัม ต่อ ๑ ตารางเมตร

                        (๔)  โรงเรียนชั้นเตรียมอุดมขึ้นไป โรงพยาบาล โรงแรม อาคารสำนักงาน ๓๐๐

กิโลกรัม ต่อ ๑ ตารางเมตร

                        (๕)  โรงเรียนชั้นประถมและมัธยม ๒๐๐ กิโลกรัม ต่อ ๑ ตารางเมตร

                        (๖)  อาคารที่พักอาศัย ๑๕๐ กิโลกรัม ต่อ ๑ ตารางเมตร

                        แต่ถ้าเนื้อที่ส่วนใดแห่งอาคารนั้นจะรับน้ำหนักบรรทุกสิ่งที่มีน้ำหนักมากกว่า

อัตราที่กล่าวแล้ว เช่น เครื่องจักรกลและอุปกรณ์อย่างอื่น ก็ให้คำนวณน้ำหนักบรรทุกเพิ่มขึ้นให้พอ

ที่จะรับน้ำหนักนั้นได้

                        ข้อ ๔๖ แรงลมอย่างสูงขนาดกับพื้นดินสำหรับส่วนอาคารที่สูงกว่า ๑๕ เมตรขึ้น

ไป ให้ถือกำหนดแรงเท่ากับ ๑๐๐ กิโลกรัม ต่อ ๑ ตารางเมตร เป็นอย่างน้อย ส่วนที่ตำกว่านี้ลงมา

ให้ลดอัตราแรงลมเป็น ๕๐ กิโลกรัม ต่อ ๑ ตารางเมตร

                        ข้อ ๔๗ น้ำหนักบรรทุกบนดินที่รากฐานของอาคารนั้นต้องคำนวณให้เหมาะสม

เพื่อความมั่นคงและปลอดภัย ซึ่งถ้าไม่มีเอกสารของผู้ชำนาญแสดงผลทดลองให้เชื่อถือได้เป็นอย่าง

อื่น จะต้องไม่เกินอัตรากำหนดสำหรับดินประเภทต่าง ๆ ดั่งต่อไปนี้

                        (๑)  ดินอ่อนหรือดินถมไว้แน่นตัวเต็มที่ ๒ เมตริกตัน ต่อ ๑ ตารางเมตร

                        (๒)  ดินปานกลางหรือทรายร่วน ๑๐ เมตริกตัน ต่อ ๑ ตารางเมตร

                        (๓)  ดินแน่นหรือทรายหยาบ ๒๐ เมตริกตัน ต่อ ๑ ตารางเมตร

                        (๔)  กรวดหรือดินดาน ๔๐ เมตริกตัน ต่อ ๑ ตารางเมตร

                        (๕)  หินปูนหรือหินทราย ๘๐ เมตริกตัน ต่อ ๑ ตารางเมตร

                        (๖)  หินอัคนี ๑๕๐  เมตริกตัน ต่อ ๑ ตารางเมตร

                        ทั้งนี้ เว้นไว้แต่จะได้แสดงให้เห็นเป็นที่เชื่อถือได้ว่า จะจัดการเพิ่มอัตรารับน้ำ

หนักบรรทุกแห่งรากฐานของอาคารได้เป็นอย่างอื่น

                        ข้อ ๔๘ ในการคำนวณน้ำหนักที่ลงบนรากฐานและเสาของอาคารสูงตั้งแต่สอง

ขั้นลงมา ให้คำนวณน้ำหนักของอาคารและน้ำหนักบรรทุกเต็มอัตรา ส่วนน้ำหนักบรรทุกของอาคาร

ซึ่งสูงกว่าสองชั้นขึ้นไปและมิได้เป็นอาคารพิเศษ คลังสินค้าห้องสมุด หรือโรงงานอุตสาหกรรมนั้น

ให้ลดส่วนลงได้ตามชั้นของอาคารดังนี้

                        (๑)  ชั้นถัดจากชั้นยอด ลดอัตราลง ๑๐ ใน ๑๐๐

                        (๒)  ชั้นถัดลงมา ลดอัตราลง ๒๐ ใน ๑๐๐

                        (๓)  ชั้นถัดลงมา ลดอัตราลง ๒๐ ใน ๑๐๐

                        (๔)  ชั้นถัดลงมา ลดอัตราลง ๒๐ ใน ๑๐๐

                        ทุกชั้นที่ถัดลงมาจากนี้ ลดอัตราลง ๕๐ ใน ๑๐๐

                        ข้อ ๔๙ ในการคำนวณกำลังต้านทานของรากฐาน ให้คำนวณน้ำหนักของ

อาคารเต็มอัตรา และ (เข็มรากฐานบนดินอ่อน) ให้เข็มรับน้ำหนักทั้งหมดโดยไม่คิดเอาแรงต้านของ

ดินรอบ ๆ เข็มมาช่วยรับน้ำหนัก สำหรับปลายเข็มจดดินแข็งดินดาน หรือวัตถุพื้นแข็งให้คำนวณเข็ม

นั้นเช่นลักษณะเสาแต่ถ้ามีเข็มอยู่ในดินอ่อน อาศัยแรงผืดพยุง ให้ใช้เข็มไม่สั้นกว่า ๓๐๐ เซนติเมตร

และให้ใช้แรงผืดพยุงดินตามสูตรต่อไปนี้

                        ให้ ฝ. = ๔๐๐ + ๓๕ ย.

                             ฝ. = แรงผืดดินเป็นกิโลกรัมต่อตารางเมตรของเนื้อที่ผิวเข็ม

                             ย. = ความยาวของเสาเข็มเป็นเมตร

                        ถ้าความยาวของเสาเข็มเกิน ๑๒.๐๐ เมตร ต้องมีการทดลองกำลังน้ำหนัก

บรรทุกของเสาเข็ม

                        เนื้อที่ของรากฐานทังหมดจะต้องไม่น้อยกว่า ๑/๑๐ ของเนื้อที่ผิวของเสาเข็มทั้ง

หมดซึ่งอยู่ภายใต้รากฐานนั้น ในกรณีที่ไม่สามารถตอกเข็มได้เพราะพื้นดินแข็ง เป็นดินปานกลาง

หรือทรายร่วน ในการคำนวณความต้านทานของดินใต้แผ่นฐานรากจะต้องไม่เกิน ๑๐ ตันต่อ ๑ ตา

รางเมตร ถ้าจะใช้มากกว่านี้จะต้องแสดงหลักฐานให้เป็นที่เชื่อถือได้

                        สำหรับเครื่องตอกเข็มด้วยแรงคน

                                                บ  =  (น x ส) / ๖ จ + ๑๕

                        ถ้าตอกด้วยเครื่องจักร ซึ่งตอกได้ไม่น้อยกว่า ๔๐ ครั้ง ต่อ ๑ นาที

                                                บ  =  (น x ส) / ๖ จ + ๑.๕

                        ให้  บ. = น้ำหนักบรรทุกได้โดยปลอดภัยเป็นกิโลกรัม

                              น = น้ำหนักลูกตุ้มเป็นกิโลกรัม

                              ส = ระยะลูกตุ้มตกเป็นเซนติเมตร

                              จ = ระยะที่เข็มจมครั้งสุดท้ายเป็นเซนติเมตร

                                                            หมวด ๖

                                                แนวอาคารและระยะต่าง ๆ

                        ข้อ ๕๐ ห้ามมิให้บุคคลใดปลูกสร้างอาคารหรือส่วนของอาคารยื่นออกมาในหรือ

เหนือทางเดินสาธารณ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกรมโยธาเทศบาลเป็นหนังสือซึ่งจะต้องไม่เกิน

กำหนดต่อไปนี้

สำหรับกันสาดของพื้นชั้นแรกเหนือระดับถนน

                        ระยะยื่นของกันสาดไม่เกิน ๒๐๐ เซนติเมตรจากผนัง

                        ระดับปลายกันสาดไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ เซนติเมตร เหนือทางเท้า

                        ระยะยื่นของกันสาดจะต้องไม่เกินกำหนดของสูตรนี้ด้วย

                                                ย  =  ก + ร / ๑๐

สำหรับส่วนประณีตสถาปัตยกรรมของพื้นชั้นอื่น ๆ

                        ระยะยื่นของชายคาไม่เกิน ๑๕๐ เซนติเมตรจากผนัง

                        ระยะยื่นของส่วนประณีตสถาปัตยกรรมไม่เกิน ๑๒๐ เซนติเมตรจากผนัง

                        ระยะยื่นที่กล่าวนั้นจะต้องไม่เกินกำหนดของสูตรนี้ด้วย

                                                ย  =  ก + ร / ๒๐

                        ให้ ย = ระยะยื่นออกมาจากผนังเป็นเซนติเมตร

                             ก = ความกว้างของถนนเป็นเซนติเมตร

                             ร = ระยะผนังอาคารจากแนวถนนเป็นเซนติเมตร

                        ข้อ ๕๑ ห้ามมิให้ปลูกสร้างอาคารมีรยะดิ่งระหว่างพื้นดินถึงเพดานตรงยอดฝา

หรือยอดผนังสูงเกินกว่าระยะราบจากผนังด้านหน้าของอาคารจดถึงแนวถนนฟากตรงกันข้าม เว้น

แต่ในกรณีอาคารตราข้อ ๕๒ หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ของกรมโยธาเทศบาลเป็นพิเศษ

                        ข้อ ๕๒ สำหรับอาคารหลังเดียวกัน ซึ่งมีถนนสองสายขนาบอยู่และถนนสองสาย

นั้นขนาดไม่เท่ากันเมื่อส่วนกว้างของอาคารนั้นไม่เกิน ๑๕ เมตร อนุญาตให้ปลูกสร้างถึงระดับสูง

เท่าตอนแนวถนนที่กว้างกว่าได้ทั้งหลัง

                        สำหรับอาคารหลังเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่มุมถนนสองสายขนาดไม่เท่ากัน อนุญาตให้

ปลูกสร้างด้านถนนแคบถึงระดับสูง ๑ ๑/๒ ของความกว้างแห่งถนนแคบ และให้ปลูกสร้างอาคาร

สูงดังว่านี้ได้เป็นระยะยาวจากมุมถนนเพียงสองเท่าของความกว้างแห่งถนนแคบนั้น

                        อาคารซึ่งอยู่ริมถนนที่มีความกว้างไม่ถึง ๘๐๐ เซนติเมตร แต่ไม่น้อยกว่า ๔๐๐

เซนติเมตร อนุญาตให้ปลูกสร้างได้สูงไม่เกิน ๘๐๐ เซนติเมตร

                        ข้อ ๕๓ ห้ามมิให้ปลูกสร้างอาคารริมแนวทางสาธารณ โดยมีระยะดิ่งระหว่างพื้น

ดินถึงเพดานตรงยอดผนังสูงเกินระดับ ๔๐ เมตร ถึงแม้ว่าตรงนั้นจะเป็นถนนขนาดกว้างเท่าใดก็

ตาม

                        ข้อ ๕๔ อาคารที่ปลูกชิดกับที่ดินของผู้อื่น หรือชิดกับอาคารอีกหลังหนึ่งนั้น ถ้ามี

ระยะห่างน้อยกว่า ๒๐๐ เซนติเมตร สำหรับอาคารสองชั้นลงมา หรือน้อยกว่า ๓๐๐ เซนติเมตร

สำหรับอาคารเกินสองขั้นขึ้นไป ห้ามมิให้มีหน้าต่าง ประตูหรือช่องระบายลมในด้านที่ชิดกับเขตที่

ดินหรืออาคารอื่นนั้น

                        อย่างไรก็ตามอาคารที่ปลูกชิดกับที่ดินของผู้อื่นนั้นจะมีระยะห่างจากเขตที่ดิน

นั้นต่ำกว่า ๕๐ เซนติเมตรไม่ได้ เว้นแต่จะปลูกสร้างโดยวิธีตกลงทำผนังร่วมกัน แต่ทั้งนี้ต้องไม่เสีย

ประโยชน์ในทางสถาปัตยกรรม

                        ข้อ ๕๕ อาคารประเภทต่าง ๆ จะต้องมีที่ว่างอันปราศจากสิ่งปกคลุมไม่น้อยกว่า

ส่วนที่กำหนดไว้ ดังต่อไปนี้

                        (๑)  อาคารที่พักอาศัย ห้องแถว หรือตึกแถว แต่ละหลังหรือห้อง ให้มีที่ว่างอยู่

๓๐ ใน ๑๐๐ ส่วนของพื้นที่

                        (๒)  อาคารพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม และอาคารสาธารณ ให้มีที่ว่างอยู่ ๑๐

ใน ๑๐๐ ส่วนของพื้นที่ เว้นแต่ในกรณีพิเศษที่การระบายลมและให้แสงสว่างเหมาะสมเพียงพอ

แล้ว กรมโยธาเทศบาลจะอนุมัติให้ปลูกสร้างโดยมีที่ว่างเปล่าน้อยกว่าส่วนที่กำหนดหรือไม่มีก็ได้

                        ข้อ ๕๖ ให้กรมโยธาเทศบาลมีอำนาจที่จะประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนด

ชนิดของอาคารที่ปลูกสร้างริมถนนที่ระบุไว้ในประกาศให้จำต้องปลูกสร้างเป็นตึกแถวหรอืห้องแถว

แต่ชนิดเดียวได้

                        ประกาศดั่งกล่าวนี้ต้องกำหนดเขตที่บังคับให้จำต้องปลูกสร้างอาคารได้แต่บาง

ชนิดไว้

                                                              หมวด ๗

                                                           การสุขาภิบาล

                        ข้อ ๕๗ อาคารที่จะปลูกสร้งต้องมีทางระบายน้ำที่ใช้แล้วออกจากอาคารไปได้

สะดวก

                        ข้อ ๕๘ การทำรางระบายน้ำจากอาคารไปสู่ทางน้ำสาธารณจะต้องให้มีส่วน

บาดไม่ต่ำกว่า ๑ ใน ๒๐๐ ตามแนวตรงที่สุดที่จะจัดทำได้ ถ้าจะใช้ท่อกลมเป็นทางระบาย ต้องมีบ่อ

ตรวจระบายทุกระยะ ๓๐ เมตร และทุกมุมเลี้ยวด้วย

                        ข้อ ๕๙ ถ้าการระบายน้ำโสโครกออกจากอาคารไปสู่ทางน้ำสาธารณ ซึ่งมิได้จัด

เตรียมไว้โดยเฉพาะแล้ว กรมโยธาเทศบาลอาจไม่ยอมอนุญาตให้ จนกว่าเจ้าของอาคารจะได้จัด

การให้น้ำโสโครกนั้นมีลักษณะดีขึ้นตามที่เห็นสมควรก็ได้

                        ข้อ ๖๐ อาคารตามข้อ ๑ (๑) ถึง (๗) ถ้ามีท่อเอกประปาในทางสาธารณซึ่งทาง

สาธารณนั้นติดเขตที่สร้างอาคารก็ให้ต่อท่อประปาเข้าสู่อาคารด้วย เว้นแต่อาคารที่พักอาศัยซึ่งเจ้า

ของอยู่เอง

                        ข้อ ๖๑ การทำการระบายน้ำและติดต่อท่อระบายน้ำนั้นท่อประปา ท่อระบายน้ำ

ในอาคาร และอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับการต่อท่อและการสุขาภิบาล จะต้องมีลักษณะถูกต้องเพื่อ

ประโยชน์ในทางอนามัยตามแบบนิยมในทางวิชาการ

                        ข้อ ๖๒ อาคารที่บุคคลอาจพักอาศัยใช้สอยได้ ให้มีส้วมไว้ตามจำนวนอันสมควร

แต่ต้องไม่น้อยกว่าอัตราตามกำหนดไว้นี้

                        (๑)  อาคารที่พักอาศัยให้มี ๑ แท่นทุกหลัง

                        (๒)  ห้องแถวหรือตึกแถวให้มี ๒ แท่นทุก ๆ ๕ ห้อง

                        (๓)  โรงแรมให้มี ๑ แท่น ต่อกำหนด ๑๐ คนที่อาคารนั้นจะให้คนพักแรมได้

                        (๔)  โรงเรียนและโรงงานให้มี ๑ แท่นต่อ ๑๐๐ คน ที่กำหนดให้ใช้สอยอาคารนั้น

                        (๕)  หอประชุมและโรงมหรสพให้มี ๑ แท่นต่อ ๓๐๐ คน ที่กำหนดให้ใช้สอย

อาคารนั้น

                        ข้อ ๖๓ ห้องส้วมต้องมีขนาดเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า ๑.๕๐ ตารางเมตร ต่อ ๑ แท่น มี

ลักษณะที่จะรักษาความสะอาดได้ง่ายเรียบร้อย และมีพื้นที่ไม่ซึม กับมีช่องระบายลมตามสมควร

ถ้าเป็นส้วมระบายน้ำซึ่งไม่ใช้บ่อเก็บอาจม ให้ทำในตัวอาคารที่พักอาศัยได้ แต่ถ้ามีเป็นส้วมวิธีอื่น

ต้องทำเป็นส่วนหนึ่งต่างหากนอกไปจากตัวอาคารที่พักอาศัยนั้น

                                                               หมวด ๘

                                                การควบคุมการก่อสร้างอาคาร

                        ข้อ ๖๔ ผู้ได้รับอนุญาตปลูกสร้างอาคารต้องเก็บรักษาใบอนุญาต แผนผัง แบบ

ก่อสร้าง และรายการไว้ในบริเวณปลูกสร้าง ๑ ชุด เพื่อให้นายช่างตรวจดูได้เสมอตามเวลาที่สมควร

และต้องทำการปลูกสร้างภายในเวลาที่กำหนดไว้ในอนุญาต เว้นไว้แต่จะได้ขอต่ออายุใบอนุญาต

ใหม่

                        ข้อ ๖๕ ในการปลุกสร้างอาคาร ให้ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้แทนควบคุมให้เป็นไป

ตามเงื่อนไขแห่งการอนุญาต และต้องมีนายงานที่มีความสามารถตามสมควรประจำอยู่ตลอดเวลา

ที่ทำการปลูกสร้าง ถ้านายงานไม่อยู่ต้องตั้งตัวแทนกำกับการไว้ คำสั่งของนายช่างซึ่งมอบให้กับ

นายงานหรือตัวแทนนั้นให้ถือว่าได้ให้ไว้กับผู้รับอนุญาต

                        ข้อ ๖๖ ถ้านายช่างตรวจพบการปลูกสร้างอาคารผิดจากแผนผัง แบบก่อสร้าง

รายการ หรือเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในหนังสืออนุญาต ให้ตักเตือนเจ้าของอาคารหรือนายงานควบคุม

แล้วรายงานให้กรมโยธาเทศบาลทราบ กรมโยธาเทศบาลจะแจ้งกำหนดเวลาอันสมควรให้เจ้าของ

อาคารจัดการแก้ไขการปลูกสร้างเสียให้ถูกต้อง ซึ่งเมื่อพ้นกำหนดเวลาไปแล้ว การแก้ไขยังไม่สำเร็จ

เรียบร้อย ก็ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๑๕

                        ข้อ ๖๗ วัตถุประกอบการปลูกสร้างอาคารต้องมีคุณสมบัติตามกำหนดของราย

การ และรายการคำนวณ ถ้ามีเหตุสงสัยในคุณภาพของวัตถุ  ให้นายช่างมีอำนาจตรวจดูเอกสาร

ของผู้ชำนาญแสดงผลการทดลองกำลัง หรือเรียกตัวอย่างวัตถุตามปริมาณสมควรจากผู้รับอนุญาต

เพื่อตรวจสอบโดยการทดลองตามหลักวิชาการซึ่งผู้รับอนุญาตจะต้องจัดการส่งให้ตามต้องการโดย

ไม่คิดมูลค่า

                        ข้อ ๖๘ ถ้าปรากฏแก่นายช่างว่า รายการคำนวณรากฐานที่ได้อนุญาตไว้เกิด

ความไม่แน่นอนขึ้นเพราะเหตุพื้นดินที่จะปลูกสร้างรากฐานนั้นมิได้เป็นตามที่คาดหมายไว้ ให้นาย

ช่างมีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงรายการคำนวณของรากฐานนั้นเสียใหม่ได้

                        การปลูกสร้างรากฐานของอาคารให้ทำได้เฉพาะเวลากลางวัน เว้นไว้แต่จะได้รับ

อนุญาตจากกรมโยธาเทศบาลให้ทำในเวลากลางคืนได้

                        ข้อ ๖๙ การปลูกสร้างอาคารที่ติดต่อกับทางสาธารณ ผู้รับอนุญาตจะต้องแสดง

วิธีการและขึ้นของงานให้เป็นที่พอใจนายช่างก่อนว่า เป็นที่ปลอดภัยแก่ผู้ใช้ทางสาธารณนั้นแล้ว จึง

จะลงมือทำการปลูกสร้างนั้นได้

                        ข้อ ๗๐ เมื่อนายช่างประสงค์จะเข้าตรวจอาคารที่ปลูกสร้างไว้เสร็จแล้วว่าอยู่ใน

ภาวะอันสมควรหรือไม่ ก็ให้แจ้งกำหนดเวลาตรวจให้เจ้าของอาคารทราบเป็นหนังสือก่อนตรวจ

อย่างน้อย ๔๘ ชั่วโมง เจ้าของอาคารหรือตัวแทนจะต้องให้ความสะดวกต่อนายช่างในการตรวจตามสมควร

                        ข้อ ๗๑ เมื่อนายช่างตรวจพบอาคารซึ่งไม่อยู่ในภาวะสมควร น่าจะเป็นอันตราย

ต่อร่างกาย ชีวิต หรือทรัพย์สินให้รายงานกรมโยธาเทศบาลทราบ กรมโยธาเทศบาลจะสั่งเจ้าของ

อาคารให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือรื้อถอน ตามแบบ "ย.ธ.๔" ท้ายกฎกระทรวงนี้ก็ได้ ถ้าคำสั่งเป็นการ

ให้เปลี่ยนแปลงแก้ไข ให้ถือการอนุญาตปลูกสร้างนั้นเป็นการเร่งร้อน โดยออกหนังสืออนุญาตแบบ

ชั่วคราวให้เวลาอนุญาต

                                                                 หมวด ๙

                                                            ค่าธรรมเนียม

                        ข้อ ๗๒ ค่าธรรมเนียมการตรวจแบบก่อสร้างรวมทั้งการออกใบอนุญาต ให้เรียก

เก็บดังนี้

                        (๑)  อาคารที่พักอาศัยซึ่งทำด้วยวัตถุถาวร คำนวณตามเนื้อที่ของพื้นที่ของ

อาคารทุกชั้น ตารางเมตรละ ๕๐ สตางค์

                        (๒)  อาคารที่พักอาศัยซึ่งทำด้วยวัตถุอันมิใช่วัตถุถาวรคำนวณตามเนื้อที่ของพื้น

ที่อาคารทุกชั้น ตารางเมตรละ ๒๕ สตางค์

                        (๓)  ท่อ รางระบายน้ำ รั้ว หรือกำแพง กับทั้งประตูรั้วหรือประตูกำแพงนั้น

คำนวณตามระยะยาวเมตรละ ๒๕ สตางค์

                        (๔)  เขื่อน ท่าน้ำ หรือสะพานท่าน้ำ คำนวณตามระยะยาวเมตรละ ๔๐ สตางค์

                        (๕)  สะพาน อู่เรือ คานเรือ หรือป้ายโฆษณา คำนวณตามเนื้อที่ตารางเมตรละ

๕๐ สตางค์

                        (๖)  อาคารอย่างอื่นคำนวณตามเนื้อที่ของพื้นอาคารทุกชั้นตารางเมตรละ

๑.๕๐ บาท แต่ถ้าเป็นอาคารชนิดที่ไม่ใช้เนื้อที่ภายใน คำนวณตามระยะยาวเมตรละ ๗๕ สตางค์

                        ข้อ ๗๓ ค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตต่ออายุหรือใบแทนฉบับละ ๑.๐๐

บาท

                        ข้อ ๗๔ การตรวจแบบก่อสร้างรวมทั้งการออกใบอนุญาตสำหรับอาคารชั่วคราว

ไม่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียม

                                                            ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๘

                                                                     นายพลตำรวจเอก ผ. ศรียานนท์

                                                                   รัฐมนตรีช่วยว่าการ ฯ ลงนามแทน

                                                                  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ เนื่องจากได้แก้ไขเพิ่มเติมพระราช

บัญญัติควบคุมการก่อสร้างในเขตเพลิงไหม้ พุทธศักราช ๒๔๗๖ โดยพระราชบัญญัติควบคุมการ

ก่อสร้างในเขตเพลิงไหม้ (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๔๙๖ และกระทรวงมหาดไทยยังไม่ได้วาง

ระเบียบการขออนุญาตการก่อสร้างอาคารในเขตเพลิงไหม้ จึงจำเป็นจะต้องออกกฎกระทรวงเพื่อให้

เป็นแนวทางปฏิบัติและเป็นระเบียบต่อไป.

[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]

[รก.๒๔๙๘/๕๐/๑๐๒๕/๕ กรกฎาคม ๒๔๙๘]

                                                                                    ฐาปนี/แก้ไข

                                                                                    ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๕

                                                                                    A+B(C)