คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2736/2527
หมายเลขคดีดำ ของศาลฎีกา
หมายเลขคดีดำ -
หมายเลขคดีดำ และ หมายเลขคดีแดง ของศาลชั้นต้น
หมายเลขคดีดำ -
หมายเลขคดีแดง -
บริษัทแร่แม่เลียง จำกัดฯ โจทก์
กระทรวงอุตสาหกรรม กับพวก จำเลย
ป.พ.พ. มาตรา 420, 438
ป.วิ.พ. มาตรา 55
พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 มาตรา 77, 78, 85, 86, 138
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองจำนวน 3 แปลง และทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรของนายศรีวรรณ ซึ่งลงชื่อถือประทานบัตรแทนโจทก์และได้โอนสิทธิตามประทานบัตรรวมทั้งที่ดินให้โจทก์ แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือประทานบัตรโจทก์เริ่มทำเหมืองแร่ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2518 จำเลยที่ 1 ได้สั่งเพิกถอนประทานบัตรของโจทก์ โดยอ้างว่าออกประทานบัตรโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ และโจทก์กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 138 เสียก่อนโจทก์มิได้กระทำความผิดและไม่เคยถูกศาลพิพากษาลงโทษตามที่ถูกกล่าวหาการออกประทานบัตรที่โจทก์และนายศรีวรรณเป็นผู้ถือไม่มีการออกประทานบัตรโดยสำคัญผิดแต่ประการใด จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตามกฎหมายจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ควบคุมการทำเหมืองแร่ได้เรียกประทานบัตรคืน ทำให้โจทก์ต้องเลิกกิจการทำเหมืองแร่อันเป็นการละเมิดทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถทำเหมืองจนครบกำหนดเวลาขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่าไม่ใช่ผู้ถือประทานบัตร ผู้รับโอนหรือผู้รับช่วงการทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรอันเป็นสิทธิของนายศรีวรรณจึงไม่มีอำนาจฟ้องเขตพื้นที่ตามประทานบัตรทั้งสี่แปลงต่อเนื่องกันตั้งอยู่ในบริเวณป่าต้นน้ำลำธาร ผู้ขอประทานบัตรมิได้แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ทราบ มิฉะนั้นจำเลยที่ 1 ก็จะไม่ออกประทานบัตรทั้งสี่แปลง นั้น หรือหากจะออกประทานบัตรให้ก็ต้องกำหนดวิธีการทำเหมืองและข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันความเดือดร้อนเสียหายอันเกิดจากการใช้น้ำกักเก็บน้ำการปล่อยน้ำ การเก็บมูลดินทราย การขุดแยกทางน้ำสาธารณะ ตลอดจนวิธีการเงื่อนไขอื่น ๆ ให้รัดกุมกว่าที่กำหนดไว้ในประทานบัตรทั้งสี่แปลงนั้นหลังจากจำเลยที่ 1 ออกประทานบัตรไปแล้วจึงทราบว่าพื้นที่ตามประทานบัตรทั้งสี่แปลงเป็นป่าต้นน้ำลำธาร ได้ออกประทานบัตรไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ จำเลยที่ 1 มีอำนาจเพิกถอนได้ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 9 ทวิ นอกจากนี้โจทก์และนายศรีวรรณผู้ถือประทานบัตรได้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติแร่ โดยทำเหมืองผิดวิธีการแผนผังโครงการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประทานบัตร จำเลยที่ 1 มีอำนาจเพิกถอนประทานบัตรเสียได้โดยไม่จำต้องสอบสวนดำเนินคดี หรือให้ศาลพิพากษาลงโทษผู้ถือประทานบัตรก่อนตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 138จำเลยที่ 2 เป็นเพียงปฏิบัติการควบคุมการทำเหมืองแร่ของโจทก์และนายศรีวรรณให้เป็นไปตามกฎหมายตามอำนาจหน้าที่เท่านั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่เสียหาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับประทานบัตรที่ออกให้นายศรีวรรณ จำเลยที่ 1 ออกประทานบัตรทั้ง 3 แปลงตามฟ้องให้แก่โจทก์โดยมิได้สำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ จำเลยมิได้ดำเนินคดีให้มีการลงโทษโจทก์ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 จึงไม่มีอำนาจเพิกถอนประทานบัตรของโจทก์ตามมาตรา 138 ได้ สำหรับจำเลยที่ 2 เป็นเพียงปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยชอบ ไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เสียด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่านายศรีวรรณ เป็นผู้ยื่นคำขอประทานบัตรและเป็นผู้ถือประทานบัตร การที่โจทก์เข้าทำเหมืองในเขตเหมืองแร่ตามประทานบัตรฉบับนั้นร่วมโครงการเดียวกับประทานบัตรที่โจทก์เป็นผู้ถือ ก็โดยอาศัยสิทธิของนายศรีวรรณ โจทก์ไม่ได้เป็นผู้รับช่วงการทำเหมืองหรือได้รับโอนประทานบัตรจากนายศรีวรรณผู้ถือประทานบัตรตามมาตรา 77, 78 แห่งพระราชบัญญัติแร่พ.ศ. 2510 สิทธิการทำเหมืองตามประทานบัตรดังกล่าวยังเป็นของนายศรีวรรณการที่จำเลยที่ 1 สั่งเพิกถอนหาเป็นการโต้แย้งสิทธิการทำเหมืองของโจทก์ไม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่โจทก์สร้างทำนบปิดกั้นทางน้ำสาธารณะเป็นการเสื่อมประโยชน์แก่การใช้ทางน้ำสาธาณะ และทำการสูบน้ำจากทางน้ำสาธารณะโดยมิได้รับอนุญาตปล่อยน้ำขุ่นข้น มูลดินทรายอันเกิดจากการทำเหมืองออกนอกเขตทำเหมืองลงสู่ทางน้ำสาธารณะโดยมิได้ป้องกันทางน้ำสาธารณะตื้นเขินหรือเสื่อมประโยชน์แก่การใช้ทางน้ำทำเหมืองโดยมิได้ขุดแยกทางน้ำทำเหมืองโดยวิธีผิดไปจากที่ได้รับอนุญาต ปล่อยทำนบที่ชิดทางน้ำสาธารณะและทำนบเก็บกักน้ำขุ่นข้นดินทรายทรุดพัง อันเป็นการกระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 138 ซึ่งรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรได้ นั้นแตกต่างกับอำนาจของรัฐมนตรีในการสั่งเพิกถอนประทานบัตรที่กำหนดไว้ในมาตราอื่น เช่น มาตรา 85 ในกรณีผู้ถือประทานบัตรไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ไม่อาจติดต่อถึงได้ หรือมาตรา 86 เมื่อผู้ถือประทานบัตรไม่ชำระหนี้อันพึงต้องชำระตามกฎหมายว่าด้วยแร่ภายในกำหนด แต่มาตรา 138 บัญญัติให้อำนาจรัฐมนตรีไว้ในกำหนดโทษ ซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่ารัฐมนตรีจะมีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรได้ต่อเมื่อผู้ถือประทานบัตรได้รับโทษทางอาญาตามที่กฎหมายกำหนดไว้เสียก่อนจะโดยศาลพิพากษาคดีถึงที่สุด หรือโดยการเปรียบเทียบตามกฎหมายก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่โจทก์กระทำการอันมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ดังกล่าว ได้มีการดำเนินคดีให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 138 รัฐมนตรีจึงไม่อำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรขงโจทก์ การที่จำเลยที่ 1 สั่งเพิกถอนประทานบัตรที่ออกให้โจทก์จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่อาจทำเหมืองได้ต่อไปจนสิ้นกำหนดตามประทานบัตร โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ได้
ส่วนค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับนั้นเมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำการอันมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่อันมีส่วนให้จำเลยเพิกถอนประทานบัตรโดยไม่ชอบ ศาลจึงกำหนดค่าเสียหายให้ตามที่เห็นสมควร
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
( อุดม บรรลือสินธุ์ - พจน์ บุญเลี้ยง - ศักดิ์ สนองชาติ )
หมายเหตุ