พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลคุยม่วง อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2550

พระราชกฤษฎีกา

กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลคุยม่วง

อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก

ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน

พ.ศ. ๒๕๕๐

                       

 

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.

ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐

เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

โดยที่เป็นการสมควรกำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลคุยม่วง อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลกให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน

                  อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ และมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

 

มาตรา ๑  พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลคุยม่วง อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๐”

มาตรา ๒[๑]  พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓  ให้ที่ดินในท้องที่ตำบลคุยม่วง อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน

มาตรา ๔  ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์

นายกรัฐมนตรี

[เอกสารแนบท้าย]

๑. แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลคุยม่วง อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2550

 

(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากในท้องที่ตำบลคุยม่วง อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก มีเกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเอง หรือมีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพ หรือต้องเช่าที่ดินของผู้อื่นประกอบเกษตรกรรมอยู่เป็นจำนวนมาก สมควรกำหนดเขตที่ดินที่ได้จำแนกออกจากเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี ป่าหนองตูม ในท้องที่ดังกล่าวให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

 

 

วัชศักดิ์/ผู้จัดทำ

๘ มีนาคม ๒๕๕๐

 

 

[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๔/ตอนที่ ๑๓ ก/หน้า ๑๖/๒ มีนาคม ๒๕๕๐