ระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการอนุญาตให้กระทำการเพื่อประโยชน์ในการศึกษา หรือวิจัยทางวิชาการภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๖
ระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ว่าด้วยการอนุญาตให้กระทำการเพื่อประโยชน์ในการศึกษา
หรือวิจัยทางวิชาการภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๖
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ และพระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการอนุญาตให้กระทำการเพื่อประโยชน์ในการศึกษาหรือวิจัยทางวิชาการ ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๖”
ข้อ ๒[๑] ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๖ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ บรรดาระเบียบ ประกาศ ข้อบังคับและคำสั่งอื่นใดในส่วนที่กำหนดไว้แล้วในระเบียบนี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทน
ข้อ ๔ การศึกษาหรือวิจัยทางวิชาการในระเบียบนี้ ให้หมายความรวมถึงการศึกษาหรือวิจัยทางวิชาการในทุกสาขาวิชา
ข้อ ๕ ให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รักษาการตามระเบียบนี้และมีอำนาจตีความ วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ คำวินิจฉัยของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้เป็นที่สุด
หมวด ๑
การขออนุญาต
ข้อ ๖ กระทรวง ทบวง กรม หรือบุคคลใดประสงค์จะขออนุญาตเข้าทำการในเขตป่าสงวนแห่งชาติเพื่อประโยชน์ในการศึกษาหรือวิจัยทางวิชาการ ให้ยื่นคำขอต่อผู้อำนวยการสำนักจัดการและฟื้นฟูพื้นที่ป่าอนุรักษ์หรือทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด แล้วแต่กรณี ตามแบบ ป.ส.๒๔ ท้ายระเบียบนี้ พร้อมด้วยหลักฐานตามที่ระบุไว้ในแบบคำขอ
ผู้ขออนุญาตซึ่งเป็นนิติบุคคล นิติบุคคลนั้นต้องจดทะเบียนในประเทศไทยและผู้ถือหุ้นส่วนของนิติบุคคลนั้น ต้องมีสัญชาติไทยเกินร้อยละ ๕๐ ของจำนวนผู้ถือหุ้น หรือหุ้นส่วนนั้น ทั้งนี้ ไม่รวมถึงส่วนราชการหรือองค์การของรัฐ
ผู้ขออนุญาตซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ต้องมีสัญชาติไทยและบรรลุนิติภาวะแล้ว
หมวด ๒
หลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสภาพป่า
ข้อ ๗ เมื่อผู้อำนวยการสำนักจัดการและฟื้นฟูพื้นที่ป่าอนุรักษ์ หรือทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด แล้วแต่กรณี ได้รับคำขออนุญาตตามข้อ ๖ แล้วให้ส่งคำขอพร้อมทั้งให้ความเห็นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภายใน ๑๕ วันนับจากวันที่ได้รับคำขออนุญาต
ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับ ๕ ขึ้นไป ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดออกไปทำการตรวจสภาพป่า พร้อมทั้งส่งเรื่องราวคำขอให้สำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ท้องที่ สั่งเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับ ๕ ขึ้นไป ออกไปร่วมตรวจสอบภายใน ๑๕ วัน นับจากวันที่ได้รับคำขออนุญาต
ให้คณะเจ้าหน้าที่ตามวรรคสอง รายงานผลการตรวจสภาพป่าพร้อมทั้งให้ความเห็นประกอบการตรวจสภาพป่านั้นต่อจังหวัด ตามแบบ ป.ส.๒๕ ท้ายระเบียบนี้ ภายใน ๓๐ วัน นับจากวันที่ตรวจสภาพป่าเสร็จ พร้อมกับส่งสำเนาหรือภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวทั้งหมดให้สำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ๑ ชุด
เมื่อจังหวัดและสำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ได้รับรายงาน แบบ ป.ส.๒๕ แล้ว ให้จังหวัดและสำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ตรวจสอบพิจารณาและทำความเห็นเสนอโดยตรงไปยังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ภายใน ๑๕ วัน นับจากวันที่ได้รับรายงานแบบ ป.ส.๒๕
หมวด ๓
การอนุญาตเพื่อประโยชน์ในการศึกษาหรือวิจัยทางวิชาการ
ข้อ ๘ การอนุญาตเพื่อประโยชน์ในการศึกษาหรือวิจัยทางวิชาการ ให้พิจารณาอนุญาตในจำนวนพื้นที่แต่ละคำขอตามความจำเป็นและเหมาะสมแก่กิจการที่ขออนุญาตตามวัตถุประสงค์และโครงการที่เสนอพร้อมคำขออนุญาต และมีกำหนดระยะเวลาตามที่พิจารณาเห็นสมควรให้การอนุญาตเว้นแต่การอนุญาตเพื่อการสำรวจแร่ ให้พิจารณาอนุญาตในจำนวนพื้นที่แต่ละคำขอไม่เกิน ๒,๕๐๐ ไร่ และมีกำหนดระยะเวลาคราวละไม่เกินสองปี
โครงการที่เสนอพร้อมคำขออนุญาต ต้องแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือวิจัยทางวิชาการของผู้ขออนุญาต
ข้อ ๙ การอนุญาตให้ใช้หนังสืออนุญาตให้กระทำการเพื่อประโยชน์ในการศึกษาหรือวิจัยทางวิชาการภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามแบบ ป.ส.๒๖ ท้ายระเบียบนี้ หากมีเงื่อนไขที่ผู้อนุญาตกำหนดให้ผู้รับอนุญาตต้องปฏิบัติเพิ่มเติม ให้ระบุไว้ในหนังสืออนุญาตด้วย
ประกาศ ณ วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
สมชัย เพียรสถาพร
อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
[ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย]
สุภาพร/พิมพ์
๑ ตุลาคม ๒๕๔๖
มัตติกา/แก้ไข
๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
อรรถชัย/สุมลรัตน์/ตรวจ
๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
A+B
[๑] รก.๒๕๔๖/พ๖๐ง/๒๖/๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๖