กฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการเรียกเงินที่ได้จ่ายไปในการทำสัญญาเช่าหรือค่าใช้สิทธิเหนือที่ดินจากผู้ดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. 2552

กฎกระทรวง

ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการเรียกเงินที่ได้จ่ายไปในการทำสัญญาเช่า

หรือค่าใช้สิทธิเหนือที่ดินจากผู้ดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่

พ.ศ. ๒๕๕๒[๑]

                  

 

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ และมาตรา ๖๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. ๒๕๔๗ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้

 

ข้อ ๑  ในกฎกระทรวงนี้

“ผู้เช่า” หมายความว่า ผู้เช่าที่ดินหรือห้องชุดที่อยู่ในโครงการจัดรูปที่ดิน

“ผู้ทรงสิทธิ” หมายความว่า ผู้ทรงสิทธิเหนือที่ดินที่อยู่ในโครงการจัดรูปที่ดิน

“ผู้ดำเนินโครงการ” หมายความว่า ผู้ดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่

“ประชุมร่วม” หมายความว่า การประชุมร่วมกันระหว่างผู้ดำเนินโครงการ ผู้เช่าหรือผู้ทรงสิทธิ เจ้าของที่ดิน และคณะที่ปรึกษาโครงการจัดรูปที่ดิน

 

ข้อ ๒  ในกรณีผู้เช่าหรือผู้ทรงสิทธิรายใดเห็นว่า ผลการจัดรูปที่ดินหรืออาคารชุดใหม่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเช่าที่ดินหรือห้องชุด หรือการใช้สิทธิเหนือที่ดินแปลงเดิมให้ผู้เช่าหรือผู้ทรงสิทธิรายนั้น มีสิทธิที่จะบอกเลิกการเช่าหรือยกเลิกสิทธิเหนือที่ดินนั้น เพื่อใช้สิทธิเรียกเงินที่ได้จ่ายไปในการทำสัญญาเช่าหรือค่าใช้สิทธิเหนือที่ดินดังกล่าวจากผู้ดำเนินโครงการ  ทั้งนี้ ผู้เช่าหรือผู้ทรงสิทธินั้นจะต้องแจ้งความประสงค์ว่าจะขอบอกเลิกการเช่าหรือยกเลิกสิทธิเหนือที่ดินเป็นหนังสือต่อผู้ดำเนินโครงการภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ปิดประกาศผังที่ดินแปลงใหม่ตามมาตรา ๗๐ วรรคสอง

หนังสือแจ้งผู้ดำเนินโครงการตามวรรคหนึ่ง อย่างน้อยต้องระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลการจัดรูปที่ดินหรืออาคารชุดใหม่ที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเช่าที่ดินหรือห้องชุด หรือการใช้สิทธิเหนือที่ดินแปลงเดิมตามที่กล่าวอ้าง และจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปในการทำสัญญาเช่าหรือค่าใช้สิทธิเหนือที่ดิน และถ้ามีเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวก็ให้ส่งไปพร้อมหนังสือนั้นด้วย  ทั้งนี้ อาจส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับก็ได้

 

ข้อ ๓  เมื่อผู้ดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินได้รับแจ้งตามข้อ ๒ แล้ว ให้ผู้ดำเนินโครงการจัดให้มีการประชุมร่วมโดยเร็ว แต่ต้องไม่เกินกว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่ผู้ดำเนินโครงการได้รับหนังสือแจ้งดังกล่าว เพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบของผู้เช่าหรือผู้ทรงสิทธิที่ได้รับจากการจัดรูปที่ดินหรืออาคารชุดใหม่ และจำนวนเงินที่ผู้เช่าหรือผู้ทรงสิทธิมีสิทธิเรียกจากผู้ดำเนินโครงการในกรณีเลิกการเช่าหรือยกเลิกสิทธิเหนือที่ดินนั้น

ให้ผู้ดำเนินโครงการแจ้งกำหนดวันประชุมแก่ผู้ซึ่งต้องเข้าประชุมร่วมไม่น้อยกว่าห้าวันก่อนวันประชุมร่วม

 

ข้อ ๔  ในกรณีที่ที่ประชุมร่วมพิจารณาแล้วเห็นว่า ผลการจัดรูปที่ดินหรืออาคารชุดใหม่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเช่าที่ดินหรือห้องชุด หรือการใช้สิทธิเหนือที่ดินแปลงเดิมตามที่ผู้เช่าหรือผู้ทรงสิทธิกล่าวอ้าง ให้ถือว่าหนังสือแจ้งตามข้อ ๒ เป็นหนังสือแจ้งบอกเลิกการเช่าหรือยกเลิกสิทธิเหนือที่ดินนั้นแก่เจ้าของที่ดินแล้ว และให้ผู้เช่าหรือผู้ทรงสิทธิมีสิทธิเรียกเงินที่ได้จ่ายไปในการทำสัญญาเช่าหรือค่าใช้สิทธิเหนือที่ดินดังกล่าวจากผู้ดำเนินโครงการได้

 

ข้อ ๕  ในกรณีที่ที่ประชุมร่วมมีความเห็นตามข้อ ๔ ให้ที่ประชุมร่วมพิจารณาจำนวนเงินที่ผู้เช่าหรือผู้ทรงสิทธิมีสิทธิเรียกจากผู้ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมร่วมมีความเห็นดังกล่าว โดยให้คำนวณตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้

(๑) กรณีการเช่าที่ดินหรือห้องชุด

(ก) สัญญาเช่าที่มีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าแต่มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้คำนวณจากต้นเงินที่ผู้เช่าได้จ่ายไปจริงในการทำสัญญาเช่า โดยเป็นไปตามสัดส่วนของระยะเวลาการเช่าที่เหลืออยู่แต่ไม่เกินสามปีกับระยะเวลาการเช่าก่อนการเลิกการเช่านั้น

(ข) สัญญาเช่าอื่นนอกจาก (ก) ให้คำนวณจากต้นเงินที่ผู้เช่าได้จ่ายไปจริงในการทำสัญญาเช่า โดยเป็นไปตามสัดส่วนของระยะเวลาการเช่าที่เหลืออยู่ กับระยะเวลาการเช่าก่อนการเลิกการเช่านั้น

(๒) กรณีสิทธิเหนือที่ดิน ให้คำนวณจากต้นเงินที่ผู้ทรงสิทธิได้จ่ายไปจริงในการทำสัญญาก่อให้เกิดสิทธิเหนือที่ดิน โดยเป็นไปตามสัดส่วนของระยะเวลาการใช้สิทธิเหนือที่ดินที่เหลืออยู่กับระยะเวลาการใช้สิทธิเหนือที่ดินก่อนการยกเลิกสิทธิเหนือที่ดินนั้น

 

ข้อ ๖  ในกรณีที่ที่ประชุมร่วมมีข้อโต้แย้งหรือข้อคัดค้านในเรื่องเกี่ยวกับผลการจัดรูปที่ดินหรืออาคารชุดใหม่ สิทธิการบอกเลิกการเช่าหรือยกเลิกสิทธิเหนือที่ดิน หรือจำนวนเงินที่ผู้เช่าหรือผู้ทรงสิทธิมีสิทธิเรียกจากผู้ดำเนินโครงการ ให้เสนอคณะกรรมการส่วนจังหวัดเป็นผู้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด

 

 

ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒

ชวรัตน์  ชาญวีรกูล

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

 

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๖๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติว่า เมื่อผลการจัดรูปที่ดินหรืออาคารชุดใหม่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเช่าที่ดินหรืออาคารชุด หรือการใช้สิทธิเหนือที่ดินแปลงเดิม ผู้เช่าที่ดินหรือห้องชุดหรือผู้ทรงสิทธิเหนือที่ดินดังกล่าวสามารถบอกเลิกการเช่าหรือยกเลิกสิทธิเหนือที่ดินนั้นได้ และมีสิทธิเรียกเงินที่ได้จ่ายไปในการทำสัญญาเช่าหรือค่าใช้สิทธิดังกล่าวจากผู้ดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง  จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้

 

 

ปริยานุช/ผู้จัดทำ

๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒

ฐิติพร/ปรับปรุง

๑๘ เมษายน ๒๕๕๖

วิชพงษ์/ตรวจ

๑๙ เมษายน ๒๕๕๖

[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนที่ ๒๙ ก/หน้า ๑/๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒